Diary

กิจวัตรประจำวัน

--ของฉัน--

** เวลา 06.30 น. ตื่นนอน**

** เวลา 06.50 น . อาบน้ำ-ล้างหน้า-แปลงฟัน-ทำภาระกิจส่วนตัว**

** เวลา 07.00 น. แต่งตัว-ไปเรียนหนังสือ**

** เวลา 07.30 น. รับประทานอาหารเช้า**

** เวลา 08.30 น. เดินทางไปมหาลัย 08.40 เข้าห้องเรียน 12.00 น. รับประทานอาหารเที่ยง 133.00 เรียนต่อ 16.00 น. เลิกเรียน 17.00 น. รับประทานอาหารเย็น

**19.00 น. อาบน้ำ - ดูหนัง -นอนเล่น 22.30 น. เข้านอน**

..เป็นอันจบแล้วค่ะ.. 


7 เทคนิคการเรียนเก่ง

1. พักผ่อนให้เพียงพอ

          การพักผ่อนอย่างเพียงพอเป็นสิ่งจำเป็นอย่างมากถ้า อยากเรียนเรียนเก่ง เพราะถ้าหากว่าเราพักผ่อนไม่เพียงพอจะทำให้ช่วงเวลาเรียนของเรานั้น ไม่สดชื่น สมองไม่แล่น และอาจถึงขั้นหลับในห้องเรียนได้ ซึ่งจะนำไปสู่ความไม่เข้าใจในเนื้อหาที่เรียนในชั่วโมงดังกล่าวนั่นเอง ดังนั้นเราจึงแนะนำให้น้องๆพักผ่อนกันให้เพียงพอโดยควรนอนวันละ 6-8 ชั่วโมง เพื่อให้ในช่วงเวลาเรียนนั้นสมองสามารถทำงานได้อย่างเต็มที่ ซึ่งจะทำให้น้องๆเข้าใจเนื้อหาที่เรียนได้อย่างท่องแท้นั่นเอง

2. กล้าถามเมื่อสงสัย
          เทคนิคการเรียนเก่ง ข้อ2เป็นสิ่งที่ขัดกับนักเรียนไทยมากที่สุดเพราะข้อเสียที่สำคัญของเด็กไทยอย่างหนึ่งนั่นคือการไม่กล้าถามคำถามเมื่อสงสัย อาจเพราะกลัวว่าเพื่อนจะมองว่าโง่ หรืออายที่จะยกมือถามอาจารย์ แต่นั่นจะทำให้น้องๆไม่เข้าใจเนื้อหาที่เรียนได้เลยแหละ เพราะเมื่อเก็บความไม่เข้าใจไว้หนึ่งคำถาม การเรียนต่อไปที่ต้องใช้พื้นฐานจากความเข้าใจเรื่องก่อนหน้า น้องๆก็จะไม่เข้าใจเพราะยังคงไม่เข้าใจบทเรียนก่อนหน้า และจะทำให้การเรียนของน้องๆมีแต่คำถามที่ไม่เข้าใจเต็มไปหมด ดังนั้นถ้า อยากเรียนเก่ง "กล้าถาม" เถอะครับ การถามคำถามอาจารย์ในชั้นเรียนไม่ใช่เรื่องน่าอับอาย หรือไม่ได้หมายความว่าคนที่ถามนั้นโง่ หลายๆครั้งคำถามที่น้องถามในห้องเรียนก็เป็นคำถามที่น่าสนใจ

3. มีสมาธิในเวลาเรียน
          เคล็ดลับเรียนเก่ง ข้อต่อมาคือการมีสมาธิ ในเวลาเรียนนั้นต้องอย่าวอกแวกไปกับสิ่งที่รบกวนสมาธิทั้งหลายรอบๆตัว เช่น เพื่อนชวนคุย เพื่อนคุยกันเสียงดัง เสียงเตะบอลจากสนามบอล เสียงก่อสร้างข้างๆโรงเรียน และอื่นๆอีกมากมาย สิ่งรบกวนบางอย่างเช่น เพื่อนชวนคุุย เพื่อนคุยกันเสียงดัง เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงได้โดยการไม่นั่งในบริเวณใกล้ๆ ก็ควรหลีกเลี่ยง การเรียนอย่างมีสมาธินั้นจะทำให้น้องๆเข้าใจบทเรียนและทำคะแนนสอบได้ดีอย่างแน่นอน เพราะสิ่งที่อาจารย์ออกข้อสอบก็ต้องเป็นสิ่งที่พูดในชั้นเรียนนั่นแหละ

4. จับประเด็นให้ได้
          คนที่เรียนเก่งอาจไม่ได้เก็บทุกคำพูดของอาจารย์ได้ แต่ต้องเป็นคนที่จับประเด็นสำคัญในบทเรียนนั้นๆได้ การจับประเด็นนั้น เป็นเทคนิคการเรียนเก่ง ที่สามารถทำได้ง่ายๆโดยตั้งใจฟังว่าเนื้อหาไหนที่อาจารย์พูดย้ำๆ พูดว่าตรงจุดนี้สำคัญ หรือจุดนี้เคยออกข้อสอบ เมื่อจับประเด็นสำคัญได้ก็อย่าลืมขีดเส้นใต้หรือไฮไลท์ไว้ เพื่อที่เวลากลับมาอ่านทบทวนจะได้เน้นอ่านบริเวณเนื้อหาที่สำคัญ

5. อ่านเนื้อหาคร่าวๆก่อนเรียน
          การอ่านเนื้อหาคร่าวๆไปก่อนเรียนเป็นสิ่งที่ควรทำถ้าหากมีเวลา เพราะการที่ได้อ่านเนื้อหาไปแล้วคร่าวๆนั้นจะทำให้พอที่จะจับประเด็นได้ว่าเนื้อหาที่กำลังจะเรียนนั้นพูดถึงเรื่องอะไร อีกทั้งเมื่ออ่านเนื้อหาไปก่อนเรียนนั้นจะทำให้เรามีข้อสงสัยในบางประเด็น แล้วเมื่อเรียนในห้องเรียนจะได้ถามข้อสงสัยเหล่านั้นกับอาจารย์ผู้สอนได้ทันที

6. อย่าสักแต่ว่าจด
          การเรียนในห้องเรียนนั้นอย่าเอาแต่จดสิ่งที่อาจารย์เขียนบทกระดาน ต้องฟังคำอธิบาย และทำความเข้าใจสิ่งที่อาจารย์พูดด้วย เพราะหลายๆครั้งที่เอาแต่จด โดยไม่ฟังและทำความเข้าใจเลย เราจะพบว่าเมื่อนำสิ่งที่จดนั้นกลับมาอ่านอีกครั้ง จะรู้สึกไม่เข้าใจเนื้อหาที่จดมาเลย

7. สอนเพื่อนๆในเรื่องที่เข้าใจ
          มีงานวิจัยจำนวนมากมายได้พิสูจน์มาแล้วว่า วิธีการเรียนที่ทำให้จดจำได้ยาวนานที่สุดคือ "การสอน"  เพราะในการสอนนั้นผู้สอนจะต้องเข้าใจในเนื้อหาอย่างแท้จริง รู้ว่าเนื้อหาตรงจุดไหนสำคัญหรือไม่สำคัญ และสามารถลำดับเนื้อหาที่จะสอนเพื่อให้ผู้ฟังเข้าใจได้ ดังนั้นการสอนเพื่อนๆจะทำให้น้องๆได้ทำความเข้าใจเนื้อหานั้นๆอย่างเป็นระบบ ทำให้น้องๆได้ทบทวนความรู้ ความเข้าใจของตัวเอง และทำให้มีแต่เพื่อนๆรักเรา เมื่อเราไม่เข้าใจตรงจุดไหนพวกเขาก็พร้อมที่จะอธิบายให้น้องฟังจนเข้าใจ



7 วัน 7 วิธี เคล็ดลับสุขภาพดี

1) ทานอาหารอย่างเหมาะสม ทานให้ตรงเวลาครบ 3 มื้อ โดยเฉพาะในมื้อเช้าซึ่งเป็นมื้อสำคัญอย่าลืมเด็ดขาด แล้วไปลดมื้อเย็นให้ท้องเบาสบาย ไม่ทานอาหารเย็นในช่วงดึกดื่น ที่สำคัญ ในแต่ละมื้อควรทานอาหารให้ครบ 5 หมู่อย่างเหมาะสม อย่าลืมเสริมผัก ผลไม้ให้ได้เกลือแร่และวิตามินครบถ้วน และต้องทานอาหารให้ตรงเวลา โรคกระเพาะจะได้ไม่ถามหา  (ในรายที่แพ้นมวัวแนะนำให้เลือกดื่มนมถั่วเหลือง) ควบคู่ไปกับการทานอาหารหลากหลายที่มีแคลเซียมสูง เช่น ปลาเล็กปลาน้อย และผลิตภัณฑ์จากนมอื่นๆ รวมถึงเต้าหู้ก้อน ผักใบเขียว ถั่วงา ช่วยเสริมความแกร่งให้กับกระดูกจะได้แข็งแรงอยู่คู่ร่างกายของเราไปอีกนานๆ

2) อย่าลืมดื่มน้ำให้พอ การดื่มน้ำอย่างพอเหมาะ โดยเฉลี่ยประมาณ 8 แก้ว / วัน จะช่วยให้การเผาผลาญ การไหลเวียนของเลือดซึ่งจำเป็นต่อการทำงานของอวัยวะต่างๆ เช่น กระตุ้นการทำงานของหัวใจและระบบไตให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น นอกจากนี้ ยังช่วยให้ปริมาณไขมันในร่างกายลดลง เป็นการลดความอ้วนโดยไม่เสียสตางค์ การดื่มน้ำที่เพียงพอยังช่วยเติมความชุ่มชื้นให้กับผิว ทำให้มีความสดใสจากภายในสู่ภายนอกเหมาะกับคนที่รักสุขภาพอย่างมาก

3) ฟิตแอนด์เฟิร์ม อย่าลืมออกกำลังกายเป็นประจำ อย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 ครั้ง ครั้งละไม่ต่ำกว่า 30 นาที นอกจากผลที่ได้ทันทีคือความกระปรี้กระเปร่า สดใส แล้ว การออกกำลังกายในระยะยาว ยังช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ ปอด หัวใจ แถมยังช่วยลดน้ำหนักอีกด้วย ซึ่งการออกกำลังกายที่ดีควรใช้กล้ามเนื้อมัดใหญ่ อย่างน้อย 1 ใน 6 ส่วนของร่างกาย กีฬาที่แนะนำสำหรับเสริมความแข็งแกร่งของกล้ามเนื้อสำหรับสาวๆ ออฟฟิศ เช่น พิลาทิส โยคะ เต้นแอโรบิก วิ่ง ปั่นจักรยาน หรือฟิตเนส เป็นต้น ส่วนหนุ่มๆ นอกจากกีฬาหนักๆ ที่ชื่นชอบแล้วการเล่นฟิตเนส การวิ่ง และว่ายน้ำ ยังเป็นการออกกำลังกายง่ายๆ ที่ทำให้รูปร่างสมาร์ท ดูดี ไม่แก่เร็ว

4) พักผ่อนให้เพียงพอ คนทำงานมักเลือกการแฮงค์เอ้าท์กับเพื่อนๆ เป็นการผ่อนคลาย แต่หากเกิดขึ้นบ่อยๆ แน่นอนว่ามันย่อมทำให้ร่างกายทรุดโทรมได้ง่ายๆ เหตุนี้ จึงควรหาเวลานอนหลับพักร่างกายอย่างน้อยวันละ 6-8 ชั่วโมง จะช่วยให้คุณเริ่มต้นวันใหม่อย่างแจ่มใส หรืออาจหาเวลาท่องเที่ยวพักผ่อนช่วงวันหยุด ช่วยชาร์จแบตเตอรี่ให้ร่างกายพร้อมกลับมาลุยงานได้อย่างเต็มที่

5) ลด ละ เลิก พฤติกรรมที่บั่นทอนสุขภาพ บางครั้งก็ห้ามกันไม่ได้ สำหรับพฤติกรรมที่ถือเป็นไลฟ์สไตล์ของคนทำงาน แต่คุณอาจจัดสรรเวลาเพื่อสุขภาพได้หากไม่เลิกก็ควร ลด ละ เหล้า บุหรี่ ลงบ้าง เพราะใครๆ ก็รู้ดีว่าพฤติกรรมที่บั่นทอนสุขภาพนั้นไม่ดีแน่นอนเพราะมันเป็นเหมือนการเติมสารพิษให้ร่างกาย ถ้าใครมีต้นทุนสุขภาพที่ดีก็ดีไป แต่หากใครมีร่างกายที่ไม่แข็งแรง เมื่อเติมสารพิษเข้าไปย่อมทำให้เสี่ยงต่อโรคต่างๆ โดยเฉพาะมะเร็งตับ มะเร็งปอด รวมทั้งโรคอื่นๆ

6) สุขภาพจิตก็สำคัญ นอกจากสุขภาพร่างกายแล้ว การมีสุขภาพจิตที่ดีย่อมทำให้ส่งผลต่อสุขภาพโดยรวมได้ด้วย รู้แบบนี้หาเวลาดีท็อกซ์ความเครียดจากการออกกำลังกาย ทำงานอดิเรกที่ชอบ ท่องเที่ยว ฯลฯ ที่สำคัญหาเวลาปฏิบัติธรรม อ่านหนังสือธรรมะ ทำจิตใจให้แจ่มใส นั่งสมาธิ ซึ่งจะทำให้คุณสามารถรับมือกับปัญหาต่างๆ ได้ตลอดปี

7) แบ่งเวลาให้ครอบครัว อย่าคร่ำเคร่งกับงานจนลืมใส่ใจคนที่เรารัก ทั้งพ่อ แม่ ญาติสนิทมิตรสหาย และคนรู้ใจ เพราะความสุขส่วนหนึ่งมาจากจุดเล็กๆ เหล่านี้ นอกจากงานคนจำนวนไม่น้อยในปัจจุบัน ยังเพลิดเพลินไปกับโลกโซเชียลจนเกินพอดี ด้วยเหตุนี้ อย่ามัวเพลิดเพลินกับโลกเสมือนเหล่านี้จนลืมคนที่คุณรักไปล่ะ